ปริศนาเรือ กับการสูญหายที่ยังไขไม่ได้

ปริศนาเรือ กับการสูญหายที่ยังไขไม่ได้

วันนี้แอดมินก็จะมาพูดถึงเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับ ปริศนาเรือ กับการสูญหายที่ยังไขไม่ได้ แม้มนุษย์เราจะพัฒนาเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า จนสามารถหาคำตอบมาอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเป็นปริศนาในอดีตมาได้มากมาย แต่ก็ยังคงมีบางปริศนา ที่ความฉลาดของมนุษย์นั้น ยังไม่สามารถไขให้กระจ่างได้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องราวแห่งท้องทะเล ซึ่งแม้มนุษย์เราจะสามารถเดินทางข้ามผ่านน่านน้ำต่างๆ ไปค้นพบดินแดนใหม่มาเนิ่นนานแล้ว แต่บางปรากฎการณ์แปลกประหลาด ที่เคยเกิดขึ้นและถูกบันทึกไว้ก็ยังไม่สามารถ

ไขความลับได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือมันคือสิ่งใดกันแน่ รวมถึงปริศนาการหายไปที่เกิดกับเรือทั้ง 2 ลำที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ด้วยค่ะ ที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ผู้โดยสารบนเรือนั้นหายไปไหน หรือเรือทั้งลำนั้นสูญหายได้อย่างไร เดี๋ยวเราไปติดตามพร้อมกันค่ะ แต่ก่อนที่จะไป แอดมินก็ต้องขอฝากไปติดตาม ยุคหิน กันด้วยนะคะ แล้วในวันนี้ แอดมินก็ต้อง ขอขอบคุณ คาสิโนออนไลน์  ที่สนับสนุนบทความของเราในวันนี้ด้วยค่ะ

ปริศนาเรือ

1. Mary Celeste

ในวันที่เจ็ดพฤศจิกายนปี 1872 เรือใบสัญชาติอเมริกันความยาว 31 เมตรกว้าง 6.6 เมตรลำนี้ได้แล่นจากท่าเรือในนิวยอร์ก มุ่งหน้าสู่เมืองเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี เพื่อนำแอลกอฮอล์ เพื่อการอุตสาหกรรมจำนวน 1701 บาห์เรน ไปส่งจุดหมาย โดยกัปตันผู้ทำหน้าที่ควบคุมเรือก็คือ เบญจมิน บริกซ์ ซึ่งมีประสบการณ์เดินเรือมานานกว่า18 ปี การเดินทางครั้งนี้มีผู้โดยสารกับลูกเรือทั้งหมด 11 คน

โดยกัปตันพาภรรยาและลูกสาววัยส 2 ขวบมาด้วย และบรรดาลูกเรือ ก็ล้วนมากกว่าประสบการณ์ ซึ่งเค้าก็คัดเลือกด้วยตัวเอง ต่อมาในวันที่ 4 ธันวาคม เรือเดอีการ์เซีย เรือบรรทุกสินค้าสัญชาติแคนาดา ได้พบเรือ Mary Celeste ลอยลำอยู่ระหว่างหมู่เกาะกับโปรตุเกส ในสภาพที่ถูกทิ้งล้าง และเรือชูชีพหายไปหนึ่งลำ รายละเอียดสุดท้าย ที่มีการบันทึกไว้บนเรือลงวันที่ 25 พฤศจิกายน หรือประมาณ 10 วันก่อน

ในเวลา 08:00 น. โดยตำแหน่งที่เรืออยู่ในขณะนั้น คือใกล้กับเกาะตามาเรีย ทางใต้สุดของหมู่เกาะโซห่างจากจุดที่พบเรือเกือบ 100 ไมล์ น่าทึ่งที่ลำดังกล่าวนั้น สามารถเดินเรือฝากขึ้นลงได้ ในสภาพที่ใบเรือฉีกขาดไม่เรียบร้อย ตรงข้ามกับสภาพทุกอย่างบนเรือ ที่ยังอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ ภายในเรือเปียกเพียงเล็กน้อย ของใช้ส่วนตัวและเสบียงอาหารทั้งหมด ยังอยู่ที่เดิม แต่อุปกรณ์นำทางของกัปตันหายไป

เช่นเดียวกับเรือชูชีพ และที่สำคัญไม่พบร่องรอยของมันผู้โดยสาร กับลูกเรือ จึงเกิดคำถามว่าเหตุใดเรากัปตัน และลูกเรือผู้เชี่ยวชาญ จึงเลือกที่จะสละเรือ ทั้งที่เรือยังอยู่ในสภาพที่ดี หลังจากทำการสืบสวน และเก็บกู้ก็มีการเสนอทฤษฎีขึ้นมามากมาย เช่นเรืออาจจะถูกโจรสลัดโจมตี ลูกเรือจึงต้องหลบหนีออกมาด้วยเรือชูชีพ และทฤษฎีนี้ถูกปัดตกไป เนื่องจากบนเรือไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาสินค้า เสบียง

และทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด ก็ไม่ได้ถูกทำลาย หรือสูญหายแต่อย่างใด ส่วนที่สฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด ก็คือเรือพบกับสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลให้ถังไม้บรรจุแอลกอฮอล์เสียหาย ของข้างในจึงระเหยออกมา อากาศบนเรือกลายเป็นพิษ จนไม่มีอากาศหายใจ และเกิดภาพร้อนทุกคน จึงตัดสินใจลงเรือชูชีพโดยผูกเชือกโยงไว้กับเรือ Mary Celeste เพื่อรอให้แอลกอฮอล์ละเหยไปจนหมด ค่อยกลับขึ้นเรือ

แต่สภาพอากาศนั้นไม่เอื้ออำนวย ทำให้เรือแล่นต่อไป โดยไม่มีคนบังคับ จนในที่สุด เชือกที่โยงเรือทั้งสองลำขาดลง ผู้โดยสารทั้งหมดจึงต้องเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล และอาจจะอดอาหาร จนเสียชีวิตไปในที่สุดค่ะ

2.SS Waratah

SS Waratah เป็นเรือโดยสารและเรือกลไฟขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ ความยาว 152.4 เมตรของบริษัท Blue Anchor Line สร้างขึ้นในปี 1908 เพื่อเดินทางระหว่างยุโรปและออสเตรเลีย เรือออกเดินทางจากเมืองดอร์บัน ไปยังเครปทาวน์ ตามแนวชายฝั่งของประเทศแอฟริกาใต้ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 1909 ระหว่างทางเรือลำนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 211 คน

จากการค้นพบครั้งสุดท้าย ที่ได้รับการยืนยันคือตอนเช้าเวลา 9 โมงครึ่ง หลังจากนั้นก็เกิดสภาพอากาศแปรปรวนและย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นพายุไซโคลน ถึงขั้นระบุว่าเป็นสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดในรอบ13 ปี จากนั้นก็มีรายงานการพบเห็นที่ไม่ได้รับการยืนยันเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ในเวลาประมาณ 17:30 น. ของวันที่ 27 เหลือฮาโรล์ พบเห็นควันไฟจำนวนมาก จากเรือกลไฟจนกับการสงสัยว่า

เรือลำดังกล่าวเกิดไฟไหม้หรือไม่ และเมื่อฟ้ามืดลงลูกเรือฮาโลล์ก็มองเห็นไฟ จากเรือที่กำลังเล่นใกล้เข้ามาจากทางด้านหลัง แต่หลังจากเกิดแสงสว่างวาบสองดวง แสงไฟทั้งหมดจากเรือดังกล่าว ก็หายไปช่วงค่ำวันเดียวกันเวลาประมาณ 21:30 น. เหลืออีกลำที่เดินทางมาจากแหลมทบมุ่งหน้าไปยังดอร์บันได้แล่นผ่านเรือลำหนึ่งและแลกเปลี่ยนสัญญาณกันด้วยตะเกียง แต่เนื่องจากสภาพสภาพอากาศเลวร้าย

และทัศนวิสัยไม่ดีจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเรือลำที่พบคือเรือ SS Waratah หรือเปล่า ระบุได้เพียงตัวอักษรชื่อเรือสามตัวสุดท้ายคือ TAH นอกจากนี้ยังมีรายงานการพบเห็นเรือที่มีลักษณะตรงกับเรือลำนี้หลังจากการต่อสู้อยู่ท่ามกลางคลื่นลมทะเล ก่อนที่คลื่นลูกหนึ่งจะซัดเรือหายไปจากสายตา และเรือก็ไม่แล่นเข้าเทียบท่าที่เคปทาวน์ตามกำหนดในวันที่ 29 กรกฎาคมจึงสันนิษฐานว่าเรือ SS Waratah อาจจะอับปางลงไปแล้วค่ะ