การเป่าแก้ว วัสดุคุ้นเคยที่ทุกคนรู้จัก และด้วยคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ดี 3 ประการคือ ความโปร่งใส ความแข็งแกร่ง และก็ความทนทานต่อสารเคมี หลายๆคนคงเคยได้เห็นความสวยงามของหลอดแก้วในรูปทรงแบบต่าง ๆ ซึ่งก็นับเป็นความสวยงานที่เกิดขึ้นจากวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ควบคู่ด้วยกัน เราอาจเรียกศิลปะสิ่งนี้ว่า ศิลปะของการเป่าแก้ว แต่สำหรับบทความนี้ขอนำเสนอความน่าสนใจในเบื้องต้นของการเป่าแก้วแต่เพียงเท่านั้น แต่จะให้แหล่งที่มาที่สำคัญที่สามารถไปเรียนรู้และฝึกปฏิบัติกันได้จริง
ศิลปะ การเป่าแก้ว
การเป่าแก้วในช่วงแรกได้ถูกค้นพบตามบันทึกการให้ข้อมูลของพ่อค้าชาวซีเรียที่ได้เขาตั้งแคมป์บริเวณชายหาดซึ่งใช้หินโทรนา(Trona) โดยในการก่อเตา แต่ด้วยความร้อนของไฟ ซึ่งทำให้พบว่าโทนาและทรายหลอมรวมกัน และเมื่อไฟนั้นดับลงจนเย็นตัวลงทำให้มีลักษณะเป็นแก้วใส
รูปแบบในการเป่าแก้ว ในปัจจุบัน มีอยู่ 2 รูปแบบนั้นก็คือ การเป่าเพื่อใช้ในทางวิทยาศาสตร์ กับการเป่าเพื่อความสวยงามหรือว่าศิลปะ โดยในทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อเป็นการสร้างวัสดุอุปกรณ์เครื่องแก้วต่าง ๆ ที่ใช้ในงานทดลองและในวิจัย ในด้านศิลปะก็ทำเพื่อความสวยงามและเป็นของประดับตกแต่งซึ่งทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ และเครื่องประดับ สัตว์ต่าง ๆ
ในแต่เดิมการเป่าแก้วจะไม่ใช้ตะเกียงเหมือนปัจจุบัน และโดยใช้วิธีการเป่าลมผ่านเข้าไปในด้านหนึ่งของท่อโลหะกลวง (Blowing pipe) ให้โดยที่ปลายด้านหนึ่งคือหลอดแก้วที่ได้หลอมเหลวรวมกันเป็นก้อน การเป่าแก้วนั้นสามารถที่จะควบคุมรูปร่างขนาดได้ตามความต้องการในขณะที่แก้วนั้นกำลังร้อนอยู่ และการเป่าแบบนี้จะใช้เวลานาน ต้องมีเตาหลอมแก้วก็อาจใช้คนจำนวนมากในการทำ
ทั้งนี้การหลอมแก้วและเป่าแก้วให้มีรูปร่างต่าง ๆ และยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผลงานออกมาได้และสวยงามและมีคุณภาพก็คือ เป็นตะเกียงเป่าแก้วและก๊าซเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับเป่าแก้ว
💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛
พิพิธภัณฑ์วิหารพาร์เธนอนคลิก Acropolis
โดย ufath
💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛 💛